ไม่กี่วินาทีหลังเขี่ยบอลเริ่มเกม จังหวะยิงครั้งแรกเกิดเป็นประตูของฝั่งทีมเยือน
ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าถิ่น ดูเหมือนไม่มีใครหวาดหวั่น
เสียงเชียร์จาก เดอะ ค็อป ที่ แอนฟิลด์ เปล่งกังวานราวกับทีมได้ประตูขึ้นนำ
พวกเขาไม่อยากให้นักเตะขวัญเสีย เพราะเชื่อมั่นใน”คุณภาพ”ของนักเตะที่เขารัก
แล้วอย่างนี้ผู้เล่นทุกคนจะท้อได้อย่างไร?
แม้ทุกอย่างเข้าทางแผนของ สเปอร์ส รอตั้งรับสวนกลับ เหมือนที่เคยเล่นงานใส่ แมนฯ ซิตี้
เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ใช้ คริสเตียน เอริกเซ่น เป็นตัววางบอลยาวให้สองคู่หน้า “เคน-ซน” คอยเล่นงาน “ลอฟเรน-ฟาน ไดค์”
แทคติคนี้สูตรสำเร็จของทีมเยือน แต่ขออภัย พลาดครั้งแรกแล้ว ไม่มีครั้งที่สองตามมาให้เห็น
ทุกอย่างเป็นไปอย่างปกติ ลิเวอร์พูล เดินหน้าบุกโจมตีตามแผนที่ซ้อมมา
ทุกคนไม่มีลนลาน สายตามุ่งมั่น เป้าหมายเดียวเท่านั้นคือ ทวงประตูกลับมา
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน วิ่งเติมเกมบุกไม่มีหยุด คอยประสานงานกับ มาเน่ ถึงเส้นหลังหลายครั้ง
เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ในวันที่ลูกเปิดไม่ทำงาน แต่ประสิทธิภาพเรื่องเกมบุกยังไว้ใจได้
สองวิงแบ็กซ้าย-ขวา คือ เพลย์เมคเกอร์ ตามแบบฉบับของ ลิเวอร์พูล ในยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม โชคชะตาดูเหมือนจะไม่เข้าข้าง ช็อตอัดเต็มข้อของ อาร์โนลด์, ลูกโขกจ่อๆ ของ ฟาน ไดค์ หรือลูกทำชิ่ง 1-2 แล้วซัดซ้ายของ ซาลาห์ ทั้งหมดถูกชายชื่อ เปาโล กาซซานิก้า ปฏิเสธได้ทั้งหมด
ลิเวอร์พูล เปิดตำราเข้าทำทุกวิถีทาง สิ่งที่เห็นเลยคือ รูปแบบการเข้าทำ ไม่ต้องหวือหวา ไม่ต้องมีลูกเล่นสวยๆ แค่อาศัยการเข้าใจ คนไม่มีบอลวิ่งทำทาง เปิดที่ว่างให้เพื่อนส่ง จังหวะจบที่หลากหลาย
เราได้เห็นคลาสของ ฟาบินโญ่ กับความเป็น Deep lying playmaker ราวกับ อันเดรีย ปีร์โล่
อดีตแข้ง โมนาโก ไม่ได้มีดีแค่ตัดบอล เขามีลูกจ่าย ลูกตัก ข้ามแนวรับที่ทะลุให้เพื่อนเข้าไปจบ และมันก็สัมฤทธิ์ผลในลูกตีเสมอ 1-1
กัปตันเฮนโด้ ที่ใครเรียกร้องให้เขามีชื่อขึ้นสกอร์บอร์ด
ลัลลาน่า ยิงไปแล้ว, อ็อกซ์เลด ก็ซัดไปสองในบอลยุโรป
วันนี้เขาทำได้แล้วนะครับ แล้วเป็นลูกสำคัญซะด้วย มันเรียกความเป็น”นักสู้”ในตัวเขาได้เป็นอย่างดี
คนต่อไปต้องเป็นนายมั่งแล้วล่ะ.. ฟาบินโญ่
ในความเป็น มาเน่ ก็ยังเป็น มาเน่ ความเร็ว ความคล่อง ความแข็งแกร่ง และที่สำคัญคือ สมาธิ กับเกม
มาเน่ มีสติตลอดเวลา จิตใจจดจ่ออยู่กับเกม และมันก็ได้ผลเหมือนฉายภาพซ้ำเกมกับ เลสเตอร์
อาจจะว่าลูกนี้เป็น Soft Penalty ก็ได้ แต่มันคือจังหวะฟาวล์ชัดเจน
สารภาพตามตรง ไม่กล้ามองตอน ซาลาห์ กำลังจะง้างไก แต่เขาก็ซัดด้วยความมั่นใจส่งทีมขึ้นนำ และเป็นประตูที่ยิง สเปอร์ส ได้อีกครั้งหลังจากยิงในนัดชิง แชมเปี้ยนส์ ลีก ปีก่อน
นี่คือ ประตูที่ 7 จาก 9 เกมหลังสุดที่เจอกับ “ไก่เดือยทอง” 5 ประตูในนาม “หงส์แดง” และในนาม โรม่า กับ บาเซิล ทีมละหนึ่้งลูก
พอนำได้ มันคือเข้าทาง ลิเวอร์พูล บ้าง “พอช” โปเช็ตติโน่ อยู่เฉยไม่ได้ต้องแก้เกมสู้ แต่พอดูขุมกำลังบนม้านั่ง มีแค่ ลูคัส มูร่า คนเดียวจริงๆ ที่เป็นตัวรุก ครั้นเอา เอริกเซ่น ออกแล้วส่ง โล เซลโซ่ ก็ไม่ได้ดีอะไรกว่าเดิม
ซน ฮึง-มิน ดูเป็นคนที่ อันตรายที่สุด สปีดต้นของเขาเล่นงานทุกคนได้เสมอ เท้าซ้าย เท้าขวา ยิงได้หมด และใกล้เคียงที่สุดคือลูกยิงนอกกรอบ แต่ อลีสซง รับไม่มีกระฉอกสมราคา ตัวเต็ง ‘ยาชิน โทรฟี่’
จังหวะตั้งรับลูกเตะมุม ไม่มีลูกหวาดเสียวให้เห็น ผู้รับผิดชอบบนพื้นที่ในกรอบ ทำหน้าที่ได้ดี สกัดบอลได้ก่อนตัวรุกของคู่แข่งเข้าถึงทุกครั้ง นี่คืออีกหนึ่งจุดแข็งที่เราเห็นได้ ในรอบปีที่ผ่านมา
เกมนี้ได้เห็นอะไรๆ หลายอย่างนะครับ ทั้งรูปแบบทำเกมรุกของช่วง ครึ่งแรก และครึ่งหลัง มันคือการเข้าทำอันหลากหลาย ไม่ได้มีแค่มิติสองมิติ
ในวันที่ โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ถูกลดบทบาทสร้างสรรค์เกม ก็ยังมีแบ็กสองข้างที่เปิดเกมรุกได้ มีกองกลาง อย่าง ฟาบินโญ่ ที่วางบอลสวยๆ ให้เพื่อนเข้าทำ มันคือ”คุณภาพ”ที่พูดได้ไม่เคอะเขินเลยว่า นี่คือทีมที่พร้อมจะเป็นแชมป์
เวลาที่เหลือ ลิเวอร์พูล ไม่ต้องทำประตูเพิ่ม ผ่อนเกม คลายจังหวะการเล่น ทุกอย่างเกือบจะสบายใจได้ 100% แต่พอ โม ซาลาห์ ลงไปนั่งพร้อมส่ายหัว ก็เป็นกังวลว่า ซ้ำรอยแผลเดิม รึเปล่า?
เครดิตโดย>> UFABETWINS
อ่านต่อได้ที่>> https://www.wpgheli.com