ในฐานะของเต็งหนึ่งและว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาลนี้ แถมเพิ่งทำสถิติไม่แพ้อย่างยาวนานมากที่สุดถึง 32 เกมติดต่อกัน
ว่าแล้วถามที่ว่าใครคือคู่ขับเคี่ยวแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกของ ลิเวอร์พูล ???
อืมมมมม…นั่นน่ะสินะ…ใคร…ใครวะ
แน่นอนว่าทีมแรกคือแชมป์เก่าอย่าง แมนฯ ซิตี้ นี่แหละ
ปัญหาคือตอนนี้ ลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป็นฝ่ายตามตูดจ่าฝูงอยู่ถึง 11 แต้มแล้วน่ะซี่ย์ย์ย์
ในทางทฤษฎียังพอมีทางเป็นไปได้ เพราะเส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล อีกทั้งพวกเขาก็เคยตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉินแบบนี้มาแล้วถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรกในฤดูกาล 2011-12 ที่ แมนฯ ซิตี้ ตามหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด อยู่ถึง 8 แต้ม โดยเหลือการแข่งขันแค่ 6 นัดเท่านั้น
สุดท้ายสามารถปาดหน้าคู่อริร่วมเมืองของตัวเองเข้าเส้นชัยได้สำเร็จแบบหวุดหวิดเพียงแค่ปลายขนจมูกที่ยื่นออกมา
และครั้งล่าสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
ต้นเดือนมกราคม 2019 แมนฯ ซิตี้ ตามหลัง ลิเวอร์พูล 7 แต้ม ก่อนมีคิวฟัดกันเองที่ อิสต์แลนด์ส
เรือใบสีฟ้ายัดเยียดความปราชัยให้หงส์แดงได้สำเร็จพลางไล่บี้มาเหลือ 4 แต้ม ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะหลุดเสมออีก 4 นัดในเส้นทางที่เหลือ ขณะที่ แมนฯ ซิตี้ พุ่งเข้าชนและวิ่งเข้าใส่ชัยชนะถึง 16 นัดจาก 17 เกมสุดท้ายของฤดูกาล
แต่ฤดูกาลนี้เราสามารถมองเห็นได้อย่างคมชัดด้วยตาเปล่าว่า แมนฯ ซิตี้ ไม่เหมือนเดิม
มาตรฐานของทีมที่เป็นเสมือนหนึ่งความหวังของชาวโลกต่ำลงไป
เกมรับเสียประตูง่าย
เกมรุกก็ใช้โอกาสเปลือง
แรงจูงใจที่เป็นพลังขับเคลื่อนสู่ความสำเร็จก็ลดน้อยลง เทียบกับ ลิเวอร์พูล แล้วต้องบอกว่าคนละเรื่องเดียวกันเลย
แม้จะไม่ได้รับอนุญาตให้พลาด หากยังอยากจะป้องกันแชมป์ แต่พวกเขาก็พลาดให้เห็นเป็นระยะ
ซ้ำต้องภาวนาให้ ลิเวอร์พูล ก็ต้องสะดุดบ้าง แต่พวกพี่ๆ เขาก็ยังไม่ยอมสะดุดสักที
ดูแล้วโอกาสที่จะถูกทิ้งห่างออกไปเรื่อยๆ มีมากกว่าโอกาสที่จะขยับเข้าใกล้เสียด้วยซ้ำ
แล้ว เลสเตอร์ ซิตี้ ล่ะ
ฤดูกาลนี้ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส เสกให้จิ้งจอกสยามเป็นทีมที่แข็งแกร่งขึ้นก็จริง เกมรับเหนียวแน่น และเสียประตูน้อยเป็นอันดับหนึ่งของพรีเมียร์ลีก เกมรุกก็ดุดันและมีประสิทธิภาพ แถมเล่นเป็นระบบ และมากด้วยทีมเวิร์คจนหาทางเอาชนะคู่แข่งในระดับเดียวกันได้ตลอด
ปัญหาคือผลงานตอนเจอทีมขนาดใหญ่เหมือนที่ฤดูกาลนี้ พวกเขาเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด และ แอนฟิลด์
ขนาดของทีมก็ไม่ใหญ่และยาวสักเท่าไหร่
คิดง่ายๆ หากกองหน้าระดับดาวถล่มประตูอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ถูกอาการบาดเจ็บลักพาตัวไปนานๆ สักคน ความบรรลัยอาจมาเยือนได้เหมือนกัน
ดังฉะนั้น เลสเตอร์ ก็คงเป็นได้แค่เพียง “ไอ้แมลงวัน” ของ ลิเวอร์พูล มากกว่าผู้ท้าชิง คือสร้างความรำคาญ ได้บ้าง
แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต !!!
ว่าด้วยเรื่องของการขับเคี่ยวแย่งแชมป์ในแต่ละฤดูกาล
ย้อนกลับไปตอนที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังครองความเป็นมหาอำนาจลูกหนังของแผ่นดิน พลพรรคปีศาจแดงมีคู่แข่งหลักๆ ที่บดบี้กันอย่างเมามันมาตลอดอยู่ 2 ทีม คือ อาร์เซน่อล กับ เชลซี ก่อนการมาถึงของ แมนฯ ซิตี้ ในช่วงปลายยุครุ่งเรือง
อาร์เซน่อล สถาปนาตัวเองเป็นผู้เขย่าบัลลังก์ของ แมนฯ ยูไนเต็ด หลังการมาของ อาร์แซน เวนเกอร์ โดยใช้เวลาเพียงแค่ฤดูกาลเดียวก็สามารถโค่นปีศาจแดงได้สำเร็จ
หลังจากถูกท้าทายอำนาจ แมนฯ ยูไนเต็ด ตอบโต้กลับอย่างรุนแรงและหนักหน่วงด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน ซึ่งก็เป็นการห้ำหั่นกับ อาร์เซน่อล เพียงทีมเดียวนี่แหละ
การเชือดเฉือนแย่งชิงความสำเร็จกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด กับ อาร์เซน่อล กินเวลายาวนานนับตั้งแต่ปี 1997 ไปจนถึงปี 2004 เลยทีเดียว
เพราะนับตั้งแต่คว้าแชมป์แบบไร้พ่ายในฤดูกาล 2003-04 พลพรรคปืนโตทะลักเดือดก็เริ่มอ่อนกำลังลงในจังหวะเดียวกับที่ เชลซี จากความมั่งคั่งของ โรมัน อบราโมวิช ควบตะบึงขึ้นมาเป็นผู้เขย่าความยิ่งใหญ่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด
กระทั่งการถูกหวยเบอร์ใหญ่จากอาบูดาบีของ แมนฯ ซิตี้ นั่นแหละ
ทีมสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์ยึดอำนาจในพรีเมียร์ลีกจากเพื่อนบ้านของตัวเองในฤดูกาล 2011-12 ซึ่งนั่นคือการประกาศความยิ่งใหญ่ ก่อน แมนฯ ยูไนเต็ด จะทวงคืนในฤดูกาล 2012-13 แล้วหลังจากนั้นความตกต่ำก็บุกมาเยือน
ฤดูกาล 2013-14 เป็นครั้งแรกที่ ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ท้าชิงของ แมนฯ ซิตี้ แต่ด้วยอุบัติเหตุที่ไม่มีใครคาดคิดทำให้พวกเขาทำโทรฟี่แชมป์พรีเมียร์ลีกหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย ก่อน เจอร์เก้น คล็อปป์ จะใช้เวลาประมาณ 3 ปีสร้าง “เครื่องจักรสีแดงผู้อหังการ” ขึ้นมาเพื่อครองความยิ่งใหญ่ในสมรภูมิแข้งแห่งนี้บ้าง
ในฐานะของ “ผู้ท้าชิง” ของเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ลิเวอร์พูล พลาดไปนิดเดียวเท่านั้นเองนะครับ และความน่าเจ็บใจนั้นถูกเปลี่ยนเป็นแรงผลักดันและขับเคลื่อนไปข้างหน้าที่มีอัตราความเร็วแรงแบบทะลุส้นตีนดีนักแล
ฤดูกาลนี้ดูเหมือนพวกเขาจะไม่ใช่แค่ผู้ท้าชิงแล้ว
ผ่านมาเกือบจะครึ่งทาง ลิเวอร์พูล ในคราบ “สิบล้อเบรคแตก” เหมือนจะไม่มีคู่ขับเคี่ยวในการแย่งแชมป์ซะอย่างนั้น
ในเมื่อไม่มีคู่เล่นอันตราย
ใครบางคนวิเคราะห์ว่าคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ก็คือตัวเองนั่นแหละ
ตีความได้ง่ายๆ คือถ้าไม่มีใครทำให้สะดุด มึงก็อย่าสะดุดตีนตัวเองแล้วกัน
หรืออย่าทำเรื่องง่ายให้มันกลายเป็นเรื่องยาก
ยกตัวอย่างจากเกมสุดสัปดาห์ที่ อลิสซง เบ็คเกอร์ ตัดสินใจทำแฮนด์บอลนอกเขตโทษโดยเจตนา ด้วยคิดว่า…กูยอมโดนใบแดงดีกว่ายอมให้ทีมตัวเองโดนตีไข่แตก
แทนที่จะเอาเลื่อยไฟฟ้ายัดเข้าไปในรูตูดของผู้มาเยือนจึงกลายเป็นการมีชัยแบบหืดขึ้นคอซะอย่างนั้น
หรือเกมล่าสุดที่เสียไปอีก 2 ดอก ยืนยันถึงปัญหาในเกมรับที่อาจส่งผลกระทบในเส้นทางที่เหลือ
อย่างไรก็ตาม
ผู้ชมทางบ้านอย่างผมก็ยังไม่เห็นว่าผู้เล่นของ ลิเวอร์พูล ทำอะไรให้ตัวเองต้องลำบากมากมาย พวกเขาลงเล่นด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเทบนความละเอียดถี่ถ้วน ทั้งยังเพียบด้วยระเบียบวินัย
แม้นอาจจะมีบ้างที่หลุดสมาธิ หรือประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ตัวเองต้องกระเสือกกระสนและดิ้นรนบ้างในบางนัด สุดท้ายก็เอาตัวรอดและแคล้วคลาดจากความบรรลัยได้ตลอด
ฉะนั้น & ฉะนี้
จึงพอจะสรุปได้ว่า…
นอกจาก ลิเวอร์พูล จะไม่มีคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อในฤดูกาลนี้แล้ว
พวกเขาก็ไม่ใช่คู่แข่งของตัวเองอีกด้วย !!!
คลิกเลย >>> UFABETWINS
อ่านข่าวอื่นๆที่ >>> https://www.wpgheli.com