UFABETWINS “น้ำอัดลม” กับ “การออกกำลังกาย” สองคำนี้ดูจะอยู่ในด้านตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง คำแรกคือตัวแทนของการทำลายสุขภาพ
ส่วนคำหลังคือตัวแทนของการมีสุขภาพที่ดี แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ มีข้อมูลจำนวนไม่น้อยปรากฎบนอินเตอร์เน็ตว่า “น้ำอัดลมช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้น” สรุปแล้วน้ำอัดลมคือพระเอกหรือผู้ร้ายสำหรับการออกกำลังกายกันแน่ ? ไขข้อข้องใจด้วยความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญพร้อมกันได้ เครื่องดื่มทำลายสุขภาพ ต่อให้ไม่ต้องเป็นหมอ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ แต่เรื่องที่น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มทำลายสุขภาพทุกคนก็น่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว เพราะไม่ว่าจะอ่านบทความเกี่ยวกับ
สุขภาพบทความไหน หนึ่งในคำแนะนำแรกที่ต้องทำถ้าอยากมีสุขภาพดีคือ “งดดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม” แน่นอนว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้น้ำอัดลมกลายเป็นของต้องห้ามสำหรับการมีสุขภาพที่ดีขนาดนี้ ก็เพราะแค่ในกระป๋องขนาดความจุ 325 มิลลิลิตร น้ำอัดลมมีปริมาณน้ำตาลที่สูงถึง 35-40 กรัม เรียกได้ว่าดื่มเพียงกระป๋องเดียวก็ได้รับปริมาณน้ำตาลเกินกว่าที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแล้ว (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทยแนะนำว่าผู้ใหญ่ไม่ควรบริโภค
น้ำตาลเกินวันละ 24-32 กรัม) ยิ่งเมื่อนำปริมาณน้ำตาลที่ได้จากการดื่มน้ำอัดลม มารวมกับน้ำตาลที่ได้จากการบริโภคอาหารประเภทอื่นในแต่ละวัน ปริมาณน้ำตาลที่ได้รับก็ยิ่งพุ่งสูงทะลุปรอท กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคร้ายมากมาย ดังนี้ ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน : มีการรวบรวมงานวิจัยและการทดลองต่าง ๆ กว่า 30 งาน พบว่าการดื่มน้ำอัดลมในปริมาณมากมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นและความเสี่ยงต่อโรคอ้วน ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ
เมื่อเทียบกับปริมาณน้ำตาล เบาหวาน : นอกจากโรคอ้วนแล้ว ปริมาณน้ำตาลอันมหาศาลยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ โรคหัวใจ : การบริโภคน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเป็นประจำ มีความเชื่อมโยงกับโอกาสเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจที่สูงขึ้น ทั้งยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมัน ปัจจัยการเกิดการอักเสบ และฮอร์โมนเลปติน (Leptin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนความอิ่มในทางที่ไม่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย ส่วนเครื่องดื่มน้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวาน
แทนน้ำตาลนั้น ไม่มีงานวิจัยที่พบความเชื่อมโยงกับโรคหลอดเลือดหัวใจหรือมีผลกระทบทางชีวภาพต่อร่างกายแต่อย่างใด กระดูกพรุน : มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์หลายงานพบว่า การดื่มน้ำอัดลมที่มีกรดฟอสฟอริก (Phosphoric) เป็นส่วนประกอบมาก ๆ อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) เนื่องจากกรดนี้จะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมจนทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูกได้ เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างที่หยิบยกมากล่าวถึงเท่านั้น
ยังมีอีกหลายโรคร้ายที่น้ำอัดลมถือเป็นตัวช่วยส่งเสริมชั้นดีให้เกิด ดังนั้นไม่ว่าจะมองมุมไหนน้ำอัดลมก็ดูจะเป็นภัยร้ายสำหรับสุขภาพทั้งสิ้น แล้วอยู่ ๆ ทำไมน้ำอัดลมถึงกลายมาเป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าช่วยให้ออกกำลังกายได้ดีขึ้นด้วยล่ะ หรือแม้กระทั่ง คาไมลล์ เฮอรอน นักกีฬาอัลตร้ามาราธอนระดับแชมป์โลกยังเคยออกมายอมรับว่า เธอเองก็เป็นแฟนตัวยงของน้ำอัดลม โดยดื่มสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 4-5 กระป๋อง และมันก็มีส่วนช่วยให้เธอรู้สึกฟิตขึ้นจริง ๆ
สรุปแล้วความจริงเป็นยังไงกันแน่นะ ? อาวุธลับสำหรับความฟิต ปี 2012 นักวิจัยจาก Australian Institute of Sport ได้ทำการสำรวจทีมนักปั่นจักรยานชายทั้งหมด 19 ทีมที่เข้าร่วมการแข่งขัน U. S. Professional Championships ผลปรากฏคือมี 11 ทีมที่นักกีฬาทุกคนดื่มน้ำอัดลม (โค้ก) ระหว่างการแข่งขัน ส่วนอีก 7 ทีม มีนักกีฬาบางคนที่ดื่ม มีเพียงทีมเดียวเท่านั้นที่ไม่มีนักกีฬาดื่มเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่เลย “พวกเขาเชื่อว่าการดื่มโค้กจะช่วยทำให้พวกเขาอึดขึ้น
มีพละกำลังมากขึ้น ในการแข่งขันประเภทที่ต้องยืดเยื้อ ใช้ความอดทนสูง” แอนดรูว์ โรเบิร์ต หนึ่งในทีมนักวิจัยของ Australian Institute of Sport กล่าว ทั้ง ๆ ที่ในส่วนของสารอาหารน้ำอัดลมประเภทน้ำดำนั้นมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตเฉลี่ยอยู่ที่ 11% ซึ่งสูงกว่าปริมาณที่เหมาะสมสำหรับเครื่องดื่มนักกีฬาที่กำหนดเอาไว้ว่าไม่ควรเกิน 9 กรัม (ถ้าเกินกว่านั้นการล้างกระเพาะอาหารจะชะลอตัวลง ส่งผลให้น้ำอาจถูกลากเข้าไปในลำไส้เพื่อเจือจางคาร์โบไฮเดรตส่วนเกิน
ทำให้สูญเสียน้ำมากกว่าปกติ) นอกจากนั้นแก๊สของมันยังเสี่ยงต่อการทำให้เกิดอาการจุกเสียดระหว่างออกกำลังกายอีกด้วย แล้วอะไรที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ? “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักกีฬาดื่มน้ำอัดลม โดยเฉพาะโค้กในระหว่างที่ออกกำลังกายไม่ได้เกี่ยวข้องกับสารอาหารของมัน แต่เป็นเพราะคาเฟอีนที่อยู่ข้างใน” “มีงานวิจัยของต่างประเทศหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คาเฟอีนมีผลต่อการกระตุ้นประสิทธิภาพการออกกำลังกายให้เพิ่มสูงขึ้น” วันนิวัติ แสนลาวัณย์
นักวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาบัณฑิตศิษย์เก่าจาก สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความเห็น หนึ่งในงานวิจัยที่มีชื่อเสียงโด่งดังและได้รับการกล่าวถึงมากที่สุดในประเด็นนี้เป็นของ Ball State University โดยทีมนักวิจัยได้นำผู้ใหญ่ทั้งหมด 12 คน แบ่งเป็นชาย 6 คน หญิง 6 คน โดยทั้งหมดผ่านการอดน้ำและอาหารมาเป็นเวลา 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นทีมนักวิจัยก็ได้แบ่งกลุ่มผู้ทดลองออกเป็น 4 กลุ่มย่อย โดยแต่ละกลุ่มจะได้ดื่มโค้ก 295 มิลลิลิตรที่ผสม
คาเฟอีนในปริมาณที่แตกต่างกันไป ไล่ตั้งแต่ 0, 22.5 ,35, และ 150 มิลลิกรัม (เครื่องดื่มโคล่ากระป๋อง 325 มิลลิลิตรที่เราดื่มกันเป็นประจำนั้นมีปริมาณคาเฟอีนอยู่ที่ 30-45 มิลลิกรัม) เมื่อดื่มเสร็จ ทีมนักวิจัยก็ทำการติดตามผลอัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิตระดับน้ำตาลในเลือด และความเข้มข้นของกรดไขมันอิสระอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลา 6 ชั่วโมงหลังจากนั้น ผลสรุปคือกลุ่มที่ดื่มโค้กที่มีคาเฟอีนผสมอยู่ 150 มิลลิกรัมมีค่ากรดไขมันอิสระเพิ่มสูงขึ้นถึง 22% ซึ่งกรด
ไขมันอิสระนั้นทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรอง เมื่อไกลโคเจนในกล้ามเนื้อถูกใช้งานไปจนหมด และการเพิ่มขึ้นในอัตรานี้ก็จะส่งผลให้นักกีฬามีความอึดขึ้นในการออกกำลังกายระยะยาวเช่นการปั่นจักรยาน หรือวิ่งมาราธอนอย่างมีนัยยะสำคัญ ส่วนกลุ่มที่ดื่มโค้กที่มีปริมาณคาเฟอีน 22.5 และ 35 มิลลิกรัม ผลปรากฏว่าค่ากรดไขมันอิสระของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้นที่ 6% เท่ากัน โดยปริมาณนี้อาจส่งผลให้สามารถออกกำลังกายฟิตขึ้นก็จริง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น
และแน่นอนว่ากลุ่มที่ดื่มโค้กไม่มีคาเฟอีน ค่ากรดไขมันอิสระของพวกเขาไม่ได้เพิ่มขึ้น นอกจากเรื่องกรดไขมันอิสระแล้วแล้ว คาเฟอีนยังมีส่วนต่อการกระตุ้นการปล่อยฮอร์โมนสำคัญ 2 ชนิดคือ อะดรีนาลีน และ นอร์อิพิเนฟริน ซึ่งสามารถเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอีกด้วย ดังนั้นจากงานวิจัยชิ้นนี้ถึงแม้ผู้เข้าร่วมการทดลองจะไม่ได้ออกกำลังกายไปด้วย แต่ผลที่ออกมาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการดื่มโค้กนั้นมีส่งผลในเชิงบวกต่อการออกกำลังกาย
อีกหนึ่งงานวิจัยที่หยิบยกมาเป็นของ University of Guelph ประเทศแคนาดา โดยในปี 2009 พวกเขาได้จับนักกีฬากลุ่มหนึ่งมาออกกำลังกายจนอัตราความอ่อนเพลียอยู่ที่ 85% VO2max (ประมาณ 91 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด) หลังจากนั้นก็ได้แบ่งผู้เข้าทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม โดยทั้ง 2 กลุ่มจะได้รับยาที่ลักษณะเหมือนกัน แต่ของกลุ่มแรกจะเป็นยาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่จริง ๆ (4.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม) ส่วนกลุ่มที่สองยาที่
พวกเขาได้คือยาหลอก เป็นแค่เม็ดแป้งธรรมดา ที่สำคัญคือทั้งสองกลุ่มไม่รู้ว่าการทดลองนี้คืออะไร หลังจากที่รับประทานยาเข้าไป ก็จับนักกีฬาทั้ง 2 กลุ่มมาวิ่งบนลู่ในอัตราความเร็วเท่ากัน ผลปรากฏคือกลุ่มแรกที่รับประทานยาที่มีคาเฟอีนเข้าไปสามารถวิ่งต่อได้อีก 26-28 นาที ส่วนกลุ่มสองที่กินยาหลอก คนที่วิ่งได้นานที่สุดกลับวิ่งต่อได้เพียง 22 นาทีเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ลดหลั่นกันไปในช่วง 10-20 นาที ผลลัพธ์ของการทดลองนี้ยิ่งทำให้เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการออกกำลังกายของคาเฟอีนดูมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นไปอีก และคงสรุปได้แล้วว่าการดื่มน้ำอัดลมน้ำดำซึ่งเป็นน้ำอัดลมที่มีปริมาณคาเฟอีนผสมอยู่นั้นไม่ใช่ความเชื่อเหลวไหล แต่มันส่งผลในเชิงบวกจริง ๆ น้ำอัดลมไร้แก๊ส ถึงแม้โค้กจะมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย แต่ปัญหาสำคัญของมันคือแก๊สที่อัดแน่นอยู่ภายใน ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬาสมัครเล่นหรือแชมป์ระดับโลก เชื่อเถอะว่าถ้าดื่มโค้กธรรมดาเข้าไปในขณะที่ออกกำลังกาย
ยังไงก็ต้องโดนความจุกเสียดเล่นงานแน่นอน ดังนั้น โค้กที่นักกีฬาส่วนใหญ่นำมาดื่มในระหว่างการแข่งขันจึงเป็นโค้กที่มีการนำแก๊สออกไปหมดแล้ว ไม่หลงเหลือความซ่า เป็นเพียงน้ำหวานที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนเท่านั้น
คลิ๊กเลย >>> https://www.ufabetwins.com/
อ่านข่าวเพิ่ม >>> บ้านผลบอล